โรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณะสุขของประเทศไทยแล้วยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้นและก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ บทความนี้จะบรรยายถึงโรคไข้เลือดออกในแง่การดูแลผู้ป่วยซึ่งมีหัวข้อดังต่อไปนี้
การติดเชื้อไวรัสแดงกิวมีอาการได้ 3 แบบคือ
การติดเชื้อไข้แดงกิ่ว Denque Fever
ไข้เลือดออก [Dengue hemorrhagic fever-DHF]
สำหรับไข้เลือดออกแดงกิวที่ช็อก Denque Shock Syndrome DSS
การดำเนินโรคของไข้เลือดออก
แบ่งออกเป็น 3 ระยะดังต่อไปนี้ ระยะไข้ ระยะวิกฤติ/ช็อก และระยะฟื้นตัว
1. ระยะไข้สูง
• ลักษณะเป็นไข้สูงเฉียบพลัน 39-41 ซ เป็นเวลา 2-7 วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการชักได้ มักมีหน้าแดง ไม่มีน้ำมูกหรือไอ ในเด็กโตอาจบ่นปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร อาเจียน เลือดออก ตับโตและกดเจ็บแต่ตัวไม่เหลือง มีผื่นตามตัวผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการน้ำมูกไหลหรือไอซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกจากพวกหัดหรือไข้หวัด
• ในระยะไข้อาการทางเดินอาหารที่พบบ่อยได้แก่เบื่ออาหาร อาเจียน บางรายอาจจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ในระยะแรกจะปวดทั่วไป แต่ต่อมาจะปวดชายโครงด้านขวาเนื่องจากตับโต
• ไข้ส่วนใหญ่จะอยู่ลอย 2-7 วัน ประมาณร้อยละ 70 จะมีไข้ 4-5 วัน รายที่มีอาการเร็วที่สุดคือ 2 วัน ร้อยละ 15 จะมีไข้เกิด 7 วัน
• อาการเลือดออกที่พบบ่อยที่สุดคือจุดเลือดออกตามผิวหนังเนื่องจากเส้นเลือดเปราะ หรือทำ การทำ touniquet test จุดเลือดออกจะพบตามแขน ขา ลำตัว รักแร้อาจจะมีเลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
2. ระยะวิกฤตหรือระยะช็อค
• ระยะวิกฤตหรือระยะช๊อคมักเกิดขึ้นพร้อมๆกับการที่ผู้ป่วยมีไข้ลง เกิดจากกรั่วของพลาสมาโดยระยะรั่วจะประมาณ 24-48 ชั่วโมงประมาณหนึ่งในสามจะมีอาการรุนแรงมีภาวะความดันโลหิตต่ำเนื่องจากเกิดการรั่วของพลาสมาไปยังปอดหรือช่องท้องซึ่งจะเกิดพร้อมๆกับไข้ลง ซึ่งอาจจะเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3-8 ของไข้ ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพขจรเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ในรายที่ไม่รุนแรงผู้ป่วยดีขึ้น บางรายอาจมีเหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพขจรเบา ความดันเลือดลดลงมากกว่า 20 มิลิเมตรปรอท ผู้ไข้เลือดออกที่อยู่ในภาวะช็อกจะรู้สติดี พูดรู้เรื่อง อาจจะบ่นกระหายน้ำบางรายอาจจะมีภาวะปวดท้อง ภาวะช็อกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาผู้ป่วยจะมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว รอบปากเขียว ผิวสีม่วง ตัวเย็น วัดความดันไม่ได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน 12-24 ชั่วโมง
• ในรายที่อาการไม่รุนแรงเมื่อไข้ลงอาจจะมีอาการมือเท้าเย็นเล็กน้อยร่วมกับมีอาการชีพขจรเร็วเนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาไม่รุนแรงจึงไม่เกิดอาการช็อก
ระหว่างการเกิดภาวะช็อกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ
1. มีการรั่วของพลาสมาทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ ซึ่งมีหลักฐานคือ
• ระดับควาเข้มของเลือด(Hematocrit Hct)เพิ่มขึ้นก่อนเกิดภาวะช็อก และขณะช็อก และยังอยู่ในระดับสูงหากยังมีการรั่วของพลาสมา
• มีน้ำในช่องปอดและช่องท้อง
• ระดับโปรตีนและไข่ขาวในเลือดต่ำเนื่องจากรั่วออกไป
• หากเราใส่สายเข้าในหัวใจ จะพบว่าแรงดันในหัวใจต่ำซึ่งบ่งบอกว่ามีปริมาณน้ำในระบบไหลเวียนลดลง
• ตอบสนองต่อการให้น้ำเกลือ
2. ความต้านทาน(peripheral resisitance)ในระบบไหลเวียนเพิ่มดังจะเห็นได้ว่าความแตกต่างระหว่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและคลายตัวแคบ เช่น 100/90(ปกติต้องต่างกันประมาณ 30 )
3. ระยะพักฟื้น
• ระยะพักฟื้นตัวของผู้ป่วยค่อนข้างเร็ว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อกเมื่อไข้ลดอาการจะดีขึ้น ผู้ป่วยเริ่มอยากรับประทานอาหาร เริ่มมีปัสสาวะมาก ชีพขจรเต้นช้า
• ส่วนผู้ป่วยที่ช็อก หากได้รับการรักษาที่ทันเวลาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การรั่วของพลาสมาจะหยุด ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ชีพขจรช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น ผู้ป่วยจะอยากรับประทานอาหาร ระยะฟื้นตัวใช้เวลา 2-3 วัน
รวมระยะเวลาของการเป็นไข้เลือดออกใช้เวลา 2-7 วัน
การเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญ
• เม็ดเลือดขาวจะต่ำกว่าปกติ[<5,000] แต่ในวันแรกอาจจะสูงเล็กน้อยอาจจะมีเม็ดเลือดขาวชนิด polymorphonucleus [PMN] ประมาณร้อยละ 70-80 เมื่อไข้ลงจะกลายเป็น lymphocyte
• เกล็ดเลือด(platelet)ต่ำลงอย่างรวดเร็วน้อยกว่า 100,000 และต่ำอยู่3-5 วัน
• ความเข้มของเลือด(Hemoconcentration)เพิ่มขึ้น เช่นจาก 40%เป็น 44 %
• ในระยะช็อกเลือดจะออกง่ายเนื่องจากกลไกการแข็งตัวของเลือดเสียไป
• การตรวจรังสีของปอดอาจจะพบว่ามีน้ำในช่องปอด
• การตรวจการทำงานของตับพบว่ามีการอักเสบโดยมีการเพิ่มขึ้นของ sgot,sgpt ประมาณ2-3 เท่า
การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกในระยะไข้สูง
การดูแลในระยะนี้ญาติอาจจะต้องดูแลเองถ้าแพทย์ยังไม่ได้รับตัวไว้ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยไข้เลือดออกร้อยละ 70จะมีไข้ 4-5 วัน ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะช็อกในวันที่ 5 ของไข้แต่ก็มีบางคน
แต่ผู้ป่วยร้อยละ 2-10จะมีไข้สูง2-3 วัน ดังนั้นวันที่ช็อกเร็วที่สุดคือ 3 วันนับจากวันที่มีไข้
1. ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ๆอากาศถ่ายเทได้ดี
2. ระหว่างมีไข้สูงให้เช็ดตัวลดไข้โดยใช้น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นบิดพอหมาดๆเช็ดบริเวณหน้า ลำตัว แขนขา และพักบริเวณรักแร แผ่นอก แผ่นหลัง ขาหนีบสลับกันไปมา ทำติดต่อกันอย่างน้อย 15 นาที ระหว่างเช็ดตัวหากมีอาการหนาวสั่นให้หยุดเช็ดแล้วห่มผ้า ในเด็กเล็กเมื่อไข้สูงมากอาจจะเกิดอาการชักได้โดยเฉพาะคนที่เคยมีประวัติชักตั้งแต่เด็ก
3. ให้รับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอล ระยะห่างของการให้ยาลดไข้ไม่ควรน้อยกว่า 4 ชั่วโมง ห้ามให้ยาลดไข้อื่น เช่น แอสไพริน ยาซองลดไข้ทุกชนิด ยาหัวสิงห์ ยาไอบรูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดในกระเพาะได้ นอกจากนี้ แอสไพรินอาจทำให้เกิด Reye syndrome ควรให้ยาลดไข้เฉพาะเวลาไข้สูงเท่านั้นโดยให้ลดต่ำกว่า 39 องศา การให้ยาลดไข้มากเกินไปอาจจะมีพิษต่อตับ การให้ดื่มน้ำเกลือแร่อย่างเพียงพอจะช่วยให้ไข่ต่ำลงได้บ้าง
4. ห้ามฉีดยาเข้ากล้าม
5. อาหาร ควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย ถ้าเบื่ออาหารหรือรับประทานได้น้อย แนะนำให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ ถ้าอาเจียนมาก แนะนำให้จิบน้ำเกลือครั้งละน้อยๆบ่อยๆ ควรงดรับประทานอาหารที่มีสีแดงหรือดำ พยายามหลีกเลี่ยงการให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น
6. ควรหลีกเลี่ยงยาอื่นๆโดยไม่จำเป็น
• ถ้าอาเจียนมาก อาจพิจารณาให้ domperidone แบ่งให้วันละ 3 ครั้งควรให้ช่วงสั้นๆ
• หากผู้ป่วยใช้ยากันชัก ก็ให้ใช้ต่อ
• steroid ไม่ควรให้
• ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ
7. จะต้องติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ตรวจพบและป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา ช็อกมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับไข้ลงประมาณตั้งแต่วันที่ 3 ของการป่วย เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
• มีอาการเลวลงเมื่อไข้ลดลง มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดา อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
• อาเจียนมากตลอดเวลา
• ปวดท้องมาก
• ผู้ป่วยซึม ไม่ดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
• กระหายน้ำตลอดเวลา
• กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
• พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่นพูดไม่รู้เรื่อง
• ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย
• ไม่ปัสสาวะเป็นเวลานานเกิน 6 ชั่วโมง
ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรคแพทย์อาจจะนัดไปตรวจทุกวัน หรืออาจนัดตามความเหมาะสมจนกว่าไข้จะลง 24 ชั่วโมง หรือจนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการปกติ
8. เมื่อผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาล แพทย์จะทำ toumiquet test ทุกรายที่ไข้สูงน้อยกว่า 7 วันและทำการตรวจเลือดเพื่อตรวจจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด และนัดตรวจซ้ำเป็นระยะ เมื่อเม็ดเลือดขาวต่ำลง ร่วมกับเกร็ดเลือดลดลง และความเข็มข้นของเลือดสูงขึ้น แสดงว่าเริ่มมีการรั่วของพลาสมาออกจากเส้นเลือด และอาจช็อกได้
9. โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลโดยเฉพาะในระยะแรกของการมีไข้ หากมีอาการดังกล่าวเบื้องต้นจึงรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก
การดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกให้มีประสิทธิภาพต้องประกอบไปด้วย บุคลากรที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดี การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย มียาและคลังโลหิตที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เริ่มแรกจะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่ออัตรารอดชีวิต ในการรักษาจะแบ่งคนไข้ออกเป็น 3 กลุ่ม
การระบาดในประเทศไทย
ไข้เลือดออกเริ่มระบาดในเอเซียเมื่อปี 1950 และระบาดมาตลอดจนเป็นโรคประจำท้องถิ่น และทำให้เกิดการเสียชีวิตและการนอนโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก จากสถิติที่แสดงจะพบว่าอัตราการเสียชีวิตของไข้เลือดออกได้ลดลงเป็นอย่างมาก แต่กลับล้มเหลวในแง่ของการควบคุมการระบาดของโรค จะเห็นได้ว่าโรคไข้เลือดออกจะมีการระบาดทุก 2 ปี ทั้งนี้อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน
• ภาคประชาชนขาดการตระหนักเกี่ยวกับการป้องกันไข้เลือดออก ทำให้ไม่ร่วมมือการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ของยุง
• ภาคชุมชนขาดความร่วมมือในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง แหล่งน้ำขังต่างในฤดูฝน ท่อระบายน้ำ ภาชนะที่ทำให้เกิดการขังน้ำ
• ภาครัฐ ยังไม่มีกฎหมายที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมในชุมชน และครัวเรือน
• ขาดการดำเนินงานอย่างจริงจังในการรณรงค์ป้องกันไข้เลือดออก
การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก
การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกมี 3 วิธี
1. เพาะเชื้อไวรัสไข้เลือดออก วิธีนี้ต้องอาศัยเครื่องมือและทักษะ
2. การทดสอบทางภูมิคุ้มกัน โดยการเปรียบเทียบภูมิคุ้มกันตั้งแรกเป็นไข้ และอีกสองสัปดาห์ หากภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าแสดงว่าเป็นการติดเชื้อไข้เลือดออก การทดสอบภูมิที่นิยมทำได้แก่
• Haemagglutination inhibition (HI) test เป็นการทดสอบที่นิยมทำมากที่สุด เนื่องจากใช้เครื่องมือน้อย การตรวจไม่ยุงยากและมีความไวสูง ภูมิชนิดนี้จะเริ่มขึ้นในวันที่ 5 ของไข้ระดับของภูมิมักจะน้อยกว่า 10 สำหรับภูมิที่เจาะตอนที่ผู้ป่วยหายแล้วภูมิจะขึ้นโดยมากมักจะตำ่กว่า 640 ข้อเสียของตรวจนี้คือจะขาดความจำเพาะ และไม่สามารถหาว่าเกิดจากเชื้อไข้เลือดออกชนิดไหน
• Complement fixation (CF) test การตรวจนี้ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากการตรวจต้องใช้เครื่องมือ และต้องการทักษะในการทำ ภุมิจะเกิดช้ากว่าชนิด Haemagglutination inhibition แต่จะมีความจำเพาะกับชนิดของเชื้อมากกว่าชนิด Haemagglutination inhibition เหมาะสำหรับการตรวจหาการติดเชื้อครั้งแรก
• Neutralization test (NT) การตรวจนี้เป็นการตรวจที่ไว และมีความแน่นอนมากที่สุด และภูมิที่เกิดจะอยู่นานทำให้ตรวจเพื่อหาการระบาดของเชื้อ
• IgM -capture enzyme-linked immuno-sorbent assay (MAC-ELISA) เป็นการตรวจหาภูมิต่อเชื้อไข้เลือดออกชนิด IgM ภู้มชนิดนี้จะขึ้นเร็วโดยประมาณวันที่ 5 ของไข้ บางคนก็ขึ้นวันที่ 2-4 แต่บางคนก็ไม่ขึ้น
• IgG -ELISA เป็นการตรวจเพื่อหาภูมิต่อเชื้อไข้เลือดออกชนิด IgG ความไวของการตรวจจะไวกว่าชนิด (HI) test แต่ไม่จำเพาะกับชนิดของเชื้อ
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ยาที่ใช้รักษาไข้เลือดออก หรือวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง เท่าที่ผ่านมาการควบคุมยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากเน้นเรื่องการทำลายยุงซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณ และการควบคุมยุงต้องทำเป็นบริเวณกว้าง การควบคุมที่จะให้ผลยั่งยืนควรจะเน้นที่การควบคุมลูกน้ำ การควบคุมสามารถร่วมหน่วยงานราชการอื่น องค์กรเอกชน ท้องถิ่น ดังนั้นการควบคุมที่ดีต้องบูรณาการเอาหน่วยงานที่มีอยู่ และวิธีการต่างๆ( การควบคุมสิ่งแวดล้อม การใช้ทางชีวภาพ การใช้สารเคมี)
การควบคุมสิ่งแวดล้อม Environmental management
การควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ยุงมีการขยายพันธุ์
• แทงค์ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุง ต้องมีฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่
• ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แทงค์น้ำหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะฤดูฝน
• ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาโตะ๊ ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลงไป ส่วยถ้วยรองขาโต๊ะให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันลูกน้ำ
• มั่นตรวจสอบถาดรองน้ำที่ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศเพราะเป็นที่แพร่พันธ์ของยุง โดยเฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดี โดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลายเซ็นติเมตร ทำให้มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุง
• ตรวจรอบๆบ้านว่าแหล่งน้ำขังหรือไม่ ท่อระบายน้ำบนบนหลังคามีแองขังน้ำหรือไม่หากมีต้องจัดการ
• ขวดน้ำ กระป๋อง หรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำ หากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดินเพื่อไม่ให้น้ำขัง
• ยางเก่าที่ไม่ใช้ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน
• หากใครมีรัวไม้ หรือต้นไม้ที่มีรูกลวง ให้นำคอนกรีตเทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิแอ่งน้ำ
การป้องกันส่วนบุคคล
• ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร ควรจะใส่เสื้อแขนขาว และการเกงขายาว เด็ดนักเรียนหญิงก็ควรใส่กางเกง
• การใช้ยาฆ่ายุง เช่น pyrethrum ก้อนสารเคมี
• การใช้กลิ่นกันยุงเช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่ๆ
• นอนในมุ้งลวด หรือมุ้ง
การควบคุมยุงโดยทางชีวะ
• เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
• ใช้แบคทีเรียที่ผลิตสาร toxin ฆ่ายุงได้แก่เชื้อ Bacillus thuringiensis serotype H-14 (Bt.H-14) and Bacillus sphaericus (Bs)
• การใช้เครื่องมือดัดจับลูกน้ำซึ่งเคยใช้ได้ผลที่สนาบบินของสิงคโป แต่สำหรับกรณีประเทศไทยยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากไม่สามารถควบคุมแหล่งน้ำธรรมชาติจึงยังมีการแพร่พันธ์ของยุง
การใช้สารเคมีในการควบคุม
• การใช้ยาฆ่าลูกน้ำ วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดและได้มีการสำรวจพบว่ามีความชุกของยุงมากกว่าปกติ
• Temephos 1% sand granules โดยการใส่ทรายที่มีสารเคมีนี้ตามอัตราส่วนที่กำหนดซึ่งไม่อัตรายต่อคน
• การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีการนี้ใช้ในประเทศเอเซียหลายประเทศมามากกว่า 20 ปีแต่จากสถิติของการระบาดไม่ได้ลดลงเลย การพ่นหมอกควันเป็นรูปอธรรมที่มองเห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรเกี่ยวกับการระบาด แต่การพ่นหมอกควันไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุง ข้อเสียคือทำให้คนละเลยความปลอดภัย การพ่นหมอกควันจะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก
การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก
• เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้เลือดออก
• แจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง
• ให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัดโดยการป้องกันส่วนบุคคลดังกล่าวข้างต้น
• สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธ์ยุงหรือไม่ หากมีให้จัดการเสีย
• เฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออก